Retina Display
หน้าจอแบบ Retina Display คือ คำเรียกหน้าจอที่สามารถแสดงภาพได้ละเอียดมากจนตาเราแยกไม่ออก หรือเวลาใช้งานแล้วตามองไม่เห็นเม็ดพิกเซล ซึ่งบริษัท Apple เป็นคนคิดค้นคำว่า Retina Display ขึ้นมา เพื่อเป็นการโฆษณาและอวดศักยภาพการแสดงผลของหน้าจอตนเอง ว่ามันชัดเจนเหมือนกับมองเข้าที่จอตา (Retina) ของมนุษย์ ซึ่งนับว่าได้ผล เพราะในปัจจุบันคำว่า Retina Display กลายเป็นคำที่ใช้สำหรับโฆษณาว่าจอของบริษัทตนคมชัดสุดๆไปแล้ว
ปริมาณความหนาแน่นพิกเซลที่จะทำให้หน้าจอนั้นๆเป็นหน้าจอแบบ Retina Display มีดังนี้
- iPhone 4s, iPod Touch (Gen 4) : 326ppi
- iPhone 5, iPod Touch (Gen 5) : 326ppi
- iPad (Gen 3,Gen 4) : 264ppi
- Macbook Pro 15″ : 220ppi
- Macbook Pro 13″ : 227ppi
ส่วนระยะห่างระหว่างหน้าจอกับตามนุษย์ขณะใช้งานโดยเฉลี่ยมีดังนี้
- iPhone 4s, iPod Touch (Gen 4) : 25cm
- iPhone 5, iPod Touch (Gen 5) : 25cm
- iPad (Gen 3,Gen 4) : 38cm
- Macbook Pro 15″ : 51cm
- Macbook Pro 13″ : 51cm
จะเห็นได้ว่าปริมาณความหนาแน่นพิกเซลที่ทำให้หน้าจอนั้นเป็นจอแบบ Retina Display มีปัจจัยขึ้นอยู่กับขนาดของหน้าจอนั้นๆด้วย เนื่องจากหากหน้าจอมีขนาดเล็กเช่นโทรศัพท์มือถือ เราก็จำเป็นที่จะต้องยื่นหน้าจอนั้นมาใกล้ตาเรามากขึ้น ดังนั้นค่าความหนาแน่นพิกเซลที่จะทำให้หน้าจอนั้นเป็นจอแบบ Retina Display จะต้องสูงขึ้น เพราะยิ่งใกล้ตาเรา เรายิ่งมองเห็นเม็ดพิกเซลง่ายขึ้นนั่นเอง โดย Steve Jobs ได้นิยามใว้ว่า ค่าความหนาแน่นพิกเซลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับหน้าจอแบบ Retina Display คือ 300ppi สำหรับระยะห่างระหว่างหน้าจอกับตามนุษย์ 12-13 เซ็นติเมตร
ในปัจจุบันนอกจากบริษัท Apple แล้ว ก็มีบริษัทอื่นๆพยายามที่จะออกแบบหน้าจอของตนให้มีความละเอียดที่เทียบเท่ากับหน้าจอ Retina Display จนขณะนี้มีหลายบริษัทที่สามารถผลิตหน้าจอที่มีความละเอียดสูงระดับนี้ออกมาวางขายในราคาที่ไม่สูงเหมือนต้นฉบับ นับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้บริโภคอย่างเราๆ ที่จะได้สัมผัสหน้าจอที่มีความละเอียดสูงแบบนี้ในราคาที่ไม่แพง